ศิลปะพระพุทธรูปในแต่ละสมัยของไทย

ศาสนาที่หล่อหลอมรวมกันมาหลายยุคสมัย พระพุทธรูปแต่ละองค์ไม่เพียงแต่เป็นพุทธศิลป์ที่งดงาม แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของช่างฝีมือในแต่ละยุค รวมถึงอิทธิพลทางศิลปะจากภายนอกที่ถูกปรับให้เข้ากับบริบทของความเป็นไทย
1. สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11 - 16)
ศิลปะทวารวดีเป็นศิลปะยุคแรก ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองบนแผ่นดินไทย มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียสมัยคุปตะและหลังคุปตะ
ลักษณะเด่น:พระพักตร์: กลม หรือรูปไข่ พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระโอษฐ์หนา พระนาสิกใหญ่ พระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมหรือเปลวไฟ
ปาง: นิยมสร้างปางปฐมเทศนา ประทับนั่งห้อยพระบาท (ปางยมกปาฏิหาริย์) ปางสมาธิแบบขัดสมาธิเพชรหลวมๆ หรือแบบขัดสมาธิราบ
จีวร: ห่มคลุมบ่าซ้าย เปิดบ่าขวา หรือห่มคลุมทั้งสองบ่า เส้นจีวรพริ้วไหวติดกับพระวรกาย
วัสดุ: ส่วนใหญ่ทำจากหินทราย และสำริด

2. สมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 - 18)
ศิลปะศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองทางภาคใต้ของประเทศไทย มีอิทธิพลจากศิลปะอินเดียใต้และชวา
ลักษณะเด่น:พระพักตร์: ค่อนข้างกลม อิ่มเอิบ พระขนงโก่ง พระเนตรเรียวเล็ก พระโอษฐ์เล็ก พระรัศมีเป็นรูปเปลวไฟ หรือดอกบัวตูม
ปาง: พบหลากหลายปาง เช่น ปางมารวิชัย ปางลีลา ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ และที่สำคัญคือ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" ที่สะท้อนคติพุทธศาสนามหายาน
จีวร: ห่มคลุมทั้งสองบ่า หรือเปิดบ่าขวา
วัสดุ: นิยมสร้างด้วยสำริด หรือทำเป็นพระพิมพ์ขนาดเล็ก

3. สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16 - 19)
เป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอม (เขมร) โดยเฉพาะศิลปะแบบบายน
ลักษณะเด่น:พระพักตร์: ค่อนข้างเหลี่ยม พระพักตร์ขรึม ไม่แสดงอารมณ์ พระเนตรโปน พระโอษฐ์กว้างและหนา มีไรพระศกเหนือพระนลาฏ
ปาง: นิยมปางนาคปรก (พระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิ มีพญานาคแผ่พังพานเหนือเศียร) ปางมารวิชัย
จีวร: ห่มคลุมทั้งสองบ่า คล้ายกับจีวรที่แนบเนื้อ
วัสดุ: นิยมสร้างด้วยหินทรายสีดำ สำริด และดินเผา

4. สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19 - 20)
เป็นยุคทองของศิลปะพระพุทธรูปไทย ถือเป็นต้นแบบของพุทธศิลป์ไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
ลักษณะเด่น:พระพักตร์: รูปไข่เรียว พระขนงโก่งเรียว พระเนตรหลับลงอย่างสงบ พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย พระนาสิกโด่งงอน พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง
พระวรกาย: เพรียวบาง อรชร บอบบาง ช่วงไหล่กว้าง เอวคอดกิ่ว แสดงถึงความอ่อนช้อยสง่างาม
ปาง: นิยมปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ และที่สำคัญคือ "พระพุทธรูปปางลีลา" ที่แสดงถึงความเคลื่อนไหวอย่างงดงาม
จีวร: ห่มเฉียงเปิดบ่าขวา หรือห่มคลุม มีเส้นจีวรบางเบาแนบติดพระวรกาย เห็นเส้นจีวรพาดเฉียงเป็นรอยริ้ว
วัสดุ: นิยมสร้างด้วยสำริด และปูนปั้น

5. สมัยอู่ทอง (พุทธศตวรรษที่ 18 - 20)
ศิลปะอู่ทองเป็นศิลปะที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะทวารวดี ศิลปะลพบุรี และศิลปะสุโขทัย แบ่งออกเป็น 3 รุ่น
ลักษณะเด่น:อู่ทองรุ่น 1 (อิทธิพลทวารวดี-ขอม): พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม เม็ดพระศกใหญ่ พระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมหรือเปลวไฟ
อู่ทองรุ่น 2 (อิทธิพลขอม-สุโขทัย): พระพักตร์เหลี่ยมกว่าเดิม เม็ดพระศกเล็กลง และเริ่มมีเส้นไรพระศกสองเส้น
อู่ทองรุ่น 3 (อิทธิพลสุโขทัยชัดเจน): พระพักตร์รูปไข่ เม็ดพระศกเล็ก พระวรกายเพรียวบาง แสดงถึงความกลมกลืนของศิลปะสุโขทัย
ปาง: นิยมปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ
วัสดุ: สำริด และหินทราย

6. สมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20 - 23)
ศิลปะอยุธยาเป็นศิลปะที่มีการผสมผสานศิลปะจากหลายยุคสมัย และพัฒนาให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลักษณะเด่น:อยุธยาตอนต้น: ยังคงได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยและอู่ทอง พระพักตร์รูปไข่ พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง
อยุธยาตอนกลาง: นิยมสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพักตร์กลมหรือรูปไข่ มีพระรัศมีเปลวเพลิงชัดเจน
อยุธยาตอนปลาย: เริ่มสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีเครื่องทรงอันวิจิตรบรรจง ลวดลายกระหนกอ่อนช้อย
ปาง: นิยมปางมารวิชัย และปางยืน
วัสดุ: สำริด ปูนปั้น และไม้

7. สมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ 24 - ปัจจุบัน)
ศิลปะรัตนโกสินทร์เป็นยุคที่ฟื้นฟูและสืบทอดศิลปะจากสมัยอยุธยาและสุโขทัย พร้อมทั้งมีการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ
ลักษณะเด่น:รัชกาลที่ 1 - 3: ฟื้นฟูศิลปะแบบสุโขทัยและอยุธยาตอนปลาย มีการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง
รัชกาลที่ 4 - 5: เริ่มมีอิทธิพลตะวันตกเข้ามาผสมผสาน แต่ยังคงรักษาพุทธลักษณะแบบไทย
รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา: มีการสร้างพระพุทธรูปตามแบบอย่างเดิม และมีการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ ที่มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ยังคงความงดงามทางพุทธศิลป์
ปาง: นิยมปางมารวิชัย ปางประทานพร ปางห้ามญาติ และมีการสร้างพระพุทธรูปประจำวันเกิด
วัสดุ: สำริด ปูนปั้น ไม้ และมีการใช้กระเบื้องเคลือบ หรือแก้วตกแต่ง

การศึกษาศิลปะพระพุทธรูปในแต่ละสมัยทำให้เราเข้าใจถึงวิวัฒนาการทางศิลปะ ความเชื่อ และค่านิยมของคนในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี พระพุทธรูปเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในสังคมไทย.


