สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (แพ ติสฺสเทโว)
อัพเดทล่าสุด: 5 ก.ค. 2025
40 ผู้เข้าชม
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ หรือที่รู้จักกันในพระนามว่า สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อคณะสงฆ์ไทยและพระพุทธศาสนาในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการปกครอง การศึกษา และการเผยแผ่พระธรรมวินัย
พระประวัติและปฐมวัย
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีพระนามเดิมว่า "แพ" ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2405 ณ ตำบลบางลำพูบน อำเภอบางขุนพรหม (ปัจจุบันคือเขตพระนคร) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ทรงเป็นบุตรของ นายสอน และ นางเลื่อน
เมื่อทรงพระเยาว์ ได้ทรงเริ่มศึกษาเล่าเรียนอักษรไทยกับพระอาจารย์ทัด ณ วัดบางลำพูบน และทรงศึกษาภาษาบาลีและพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารในฐานะศิษย์วัด
การอุปสมบทและเส้นทางสู่การเป็นพระมหาเถระ
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชันษา 13 ปี ที่วัดทองนพคุณ แล้วทรงย้ายมาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมจาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมาณพ) ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นอธิบดีสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร และทรงเป็นพระอาจารย์ผู้ทรงความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง
เมื่อพระชันษาครบ 20 ปี ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2426 โดยมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับพระฉายาว่า "ติสฺสเทโว"
หลังจากการอุปสมบท ทรงตั้งใจศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง ทรงสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของการศึกษาภาษาบาลีในสมัยนั้น เมื่อพระชันษาเพียง 31 ปี นับเป็นพระมหาเปรียญที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง
สมณศักดิ์และตำแหน่งสำคัญ
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงเจริญในสมณศักดิ์มาโดยลำดับ ด้วยพระปรีชาสามารถและวัตรปฏิบัติอันงดงาม:
พ.ศ. 2441 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะที่พระอมรโมลี
พ.ศ. 2445 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองคณะกลาง
พ.ศ. 2464 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
พ.ศ. 2481 ได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระกรณียกิจสำคัญ
ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะสงฆ์และเมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ดังนี้:
ด้านการปกครองคณะสงฆ์: ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และให้คำแนะนำในการบริหารงานคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด ทรงวางรากฐานระเบียบปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสามเณร และส่งเสริมการสังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็นแบบแผนอันดีงาม
ด้านการศึกษา: ทรงเป็นผู้ริเริ่มและส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรอย่างจริงจัง ทรงสนับสนุนการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย และทรงจัดตั้ง โรงเรียนบาลีศึกษา ขึ้นในวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาบาลีในปัจจุบัน
ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา: ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้เข้าถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า ทรงจัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนาและทรงนิพนธ์หนังสือธรรมะหลายเล่ม เพื่อให้พุทธบริษัทได้ศึกษาและนำไปประพฤติปฏิบัติ
ด้านสาธารณูปการ: ทรงเป็นผู้ริเริ่มและอุปถัมภ์การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง โดยเฉพาะวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่ประทับ ทรงพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาและปฏิบัติธรรมที่สำคัญ
ด้านวรรณกรรมและภาษา: ทรงมีความเชี่ยวชาญในภาษาบาลีและภาษาไทย ทรงนิพนธ์หนังสือและตำราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าของอนุชนรุ่นหลัง
พระจริยวัตรและบารมีธรรม
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม เปี่ยมด้วยความเมตตาบารมี ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ทรงใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ทรงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยวิปัสสนาญาณและมีปัญญาเฉลียวฉลาด ทรงเป็นที่พึ่งทางใจของมหาชน และเป็นที่เคารพรักของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชนทุกหมู่เหล่า
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 สิริพระชนมายุ 81 ปี 349 วัน พรรษา 62 ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเป็นเวลา 6 ปี การสิ้นพระชนม์ของพระองค์นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคณะสงฆ์ไทย
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (แพ ติสฺสเทโว) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงคุณอันประเสริฐ และได้ทรงสร้างคุณูปการไว้แก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยอย่างอเนกอนันต์ พระนามและพระเกียรติคุณของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำและเคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาจนถึงทุกวันนี้
พระประวัติและปฐมวัย
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีพระนามเดิมว่า "แพ" ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2405 ณ ตำบลบางลำพูบน อำเภอบางขุนพรหม (ปัจจุบันคือเขตพระนคร) จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ทรงเป็นบุตรของ นายสอน และ นางเลื่อน
เมื่อทรงพระเยาว์ ได้ทรงเริ่มศึกษาเล่าเรียนอักษรไทยกับพระอาจารย์ทัด ณ วัดบางลำพูบน และทรงศึกษาภาษาบาลีและพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารในฐานะศิษย์วัด
การอุปสมบทและเส้นทางสู่การเป็นพระมหาเถระ
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชันษา 13 ปี ที่วัดทองนพคุณ แล้วทรงย้ายมาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมจาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมาณพ) ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นอธิบดีสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร และทรงเป็นพระอาจารย์ผู้ทรงความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง
เมื่อพระชันษาครบ 20 ปี ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2426 โดยมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับพระฉายาว่า "ติสฺสเทโว"
หลังจากการอุปสมบท ทรงตั้งใจศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง ทรงสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของการศึกษาภาษาบาลีในสมัยนั้น เมื่อพระชันษาเพียง 31 ปี นับเป็นพระมหาเปรียญที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง
สมณศักดิ์และตำแหน่งสำคัญ
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงเจริญในสมณศักดิ์มาโดยลำดับ ด้วยพระปรีชาสามารถและวัตรปฏิบัติอันงดงาม:
พ.ศ. 2441 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะที่พระอมรโมลี
พ.ศ. 2445 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองคณะกลาง
พ.ศ. 2464 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
พ.ศ. 2481 ได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระกรณียกิจสำคัญ
ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะสงฆ์และเมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ดังนี้:
ด้านการปกครองคณะสงฆ์: ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และให้คำแนะนำในการบริหารงานคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด ทรงวางรากฐานระเบียบปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสามเณร และส่งเสริมการสังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็นแบบแผนอันดีงาม
ด้านการศึกษา: ทรงเป็นผู้ริเริ่มและส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรอย่างจริงจัง ทรงสนับสนุนการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย และทรงจัดตั้ง โรงเรียนบาลีศึกษา ขึ้นในวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาบาลีในปัจจุบัน
ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา: ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้เข้าถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า ทรงจัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนาและทรงนิพนธ์หนังสือธรรมะหลายเล่ม เพื่อให้พุทธบริษัทได้ศึกษาและนำไปประพฤติปฏิบัติ
ด้านสาธารณูปการ: ทรงเป็นผู้ริเริ่มและอุปถัมภ์การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง โดยเฉพาะวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่ประทับ ทรงพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาและปฏิบัติธรรมที่สำคัญ
ด้านวรรณกรรมและภาษา: ทรงมีความเชี่ยวชาญในภาษาบาลีและภาษาไทย ทรงนิพนธ์หนังสือและตำราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าของอนุชนรุ่นหลัง
พระจริยวัตรและบารมีธรรม
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม เปี่ยมด้วยความเมตตาบารมี ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ทรงใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ทรงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยวิปัสสนาญาณและมีปัญญาเฉลียวฉลาด ทรงเป็นที่พึ่งทางใจของมหาชน และเป็นที่เคารพรักของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชนทุกหมู่เหล่า
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 สิริพระชนมายุ 81 ปี 349 วัน พรรษา 62 ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเป็นเวลา 6 ปี การสิ้นพระชนม์ของพระองค์นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคณะสงฆ์ไทย
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (แพ ติสฺสเทโว) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงคุณอันประเสริฐ และได้ทรงสร้างคุณูปการไว้แก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยอย่างอเนกอนันต์ พระนามและพระเกียรติคุณของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำและเคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาจนถึงทุกวันนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง