แชร์

พระเบญจภาคี

อัพเดทล่าสุด: 12 มิ.ย. 2025
1 ผู้เข้าชม

พระเบญจภาคี คือสุดยอดชุดพระเครื่องที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงสุดในวงการพระเครื่องไทย โดยเป็นการรวมตัวของพระเครื่องเนื้อดินและเนื้อผงพุทธคุณ 5 องค์ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดในด้านพุทธคุณ ความงดงามทางพุทธศิลป์ ความหายาก และมูลค่าที่สูงลิ่ว การจัดชุดพระเบญจภาคีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เป็นการจัดลำดับขึ้นมาภายหลังโดยปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพระเครื่องในอดีต โดยมีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมพระเครื่องสุดยอดจากยุคต่างๆ ที่มีพุทธคุณครอบจักรวาลและเป็นที่ปรารถนาของนักสะสมทั่วประเทศ

ที่มาและความสำคัญของ "เบญจภาคี"

คำว่า "เบญจภาคี" มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต คำว่า "เบญจ" หมายถึง ห้า และ "ภาคี" หมายถึง ส่วนหรือพวกพ้อง เมื่อรวมกันจึงหมายถึง "ห้าองค์ประกอบ" หรือ "กลุ่มห้า" การจัดชุดพระเบญจภาคีนี้เริ่มต้นขึ้นในยุคหลังปี พ.ศ. 2500 โดยผู้รู้และนักสะสมพระเครื่องรุ่นอาวุโส นำโดย ปรมาจารย์ "ตรียัมปวาย" (คุณอนันต์ อานันทนะ) ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดแนวคิดและจัดหมวดหมู่พระเครื่องชุดนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการพระเครื่องไทย เพื่อเป็นมาตรฐานในการศึกษาและสะสมพระเครื่องชั้นสูง

การที่พระเครื่องทั้ง 5 องค์นี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น "เบญจภาคี" ไม่ใช่เพียงเพราะความเก่าแก่หรือหายากเท่านั้น แต่ยังพิจารณาจาก:

พุทธคุณ: ต้องมีพุทธคุณที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีประสบการณ์เล่าขานสืบทอดกันมา
พุทธศิลป์: มีความงดงาม ประณีต และเป็นเอกลักษณ์ของสกุลช่างในยุคสมัยนั้นๆ
ความนิยม: เป็นที่รู้จักและแสวงหาของนักสะสมในวงกว้าง
ความหายาก: มีจำนวนจำกัด ทำให้มีมูลค่าสูง
ความเป็นสากล: ได้รับการยอมรับในวงกว้างของนักสะสมและผู้เชี่ยวชาญ
องค์ประกอบของพระเบญจภาคี

พระเบญจภาคีประกอบด้วยพระเครื่อง 5 องค์สำคัญ ซึ่งแต่ละองค์มีประวัติความเป็นมา พุทธศิลป์ และพุทธคุณที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่:

พระสมเด็จ (วัดระฆังโฆสิตาราม, บางขุนพรหม, เกศไชโย)

ผู้สร้าง: สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
อายุ: สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ประมาณ พ.ศ. 2409-2415
พุทธศิลป์: เป็นพระเครื่องเนื้อผงพุทธคุณ (ปูนเปลือกหอย ผสมมวลสารศักดิ์สิทธิ์) มีเอกลักษณ์คือรูปทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก มีพระพุทธรูปปางสมาธินั่งอยู่บนฐานบัว แบ่งเป็นพิมพ์นิยมต่างๆ เช่น พิมพ์ใหญ่, พิมพ์เจดีย์, พิมพ์เกศบัวตูม, พิมพ์ฐานแซม เป็นต้น แต่ละพิมพ์มีความงดงามและเสน่ห์เฉพาะตัว
พุทธคุณ: มีพุทธคุณครอบจักรวาลโดดเด่นทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และโชคลาภ เป็นที่เลื่องลือกันมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ถือเป็น "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง"
มูลค่า: เป็นพระเครื่องที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาพระเบญจภาคี ราคาซื้อขายอาจสูงถึงหลักสิบล้านหรือร้อยล้านบาท ขึ้นอยู่กับความสวยสมบูรณ์และสภาพขององค์พระ
พระรอด (ลำพูน)

ผู้สร้าง: สร้างโดยพระฤๅษี ผู้บำเพ็ญเพียรในยุคอาณาจักรหริภุญชัย
อายุ: สร้างในสมัยอาณาจักรหริภุญชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) หรือประมาณ 1,200 กว่าปีมาแล้ว
พุทธศิลป์: เป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ มีขนาดเล็ก กะทัดรัด รูปทรงสามเหลี่ยมชะลูด พุทธลักษณะปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีเศียรโต พระพักตร์อิ่มเอิบ ลักษณะคล้ายพระรอดจากอุโมงค์วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน
พุทธคุณ: โดดเด่นทางด้านแคล้วคลาด ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง มีเมตตามหานิยม และอยู่ยงคงกระพัน "รอด" พ้นจากเคราะห์ภัยต่างๆ สมชื่อ
มูลค่า: มีมูลค่าสูงในหลักหลายล้านบาท
พระผงสุพรรณ (สุพรรณบุรี)

ผู้สร้าง: สร้างโดยพระมหาเถรปิฎกธร (หลวงพ่อโต) สมัยพระมหาธรรมราชาลิไท (ตามตำนานจากกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี)
อายุ: สร้างในสมัยอู่ทอง-สุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20) หรือประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว
พุทธศิลป์: เป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ มีรูปทรงสามเหลี่ยมยอดตัด พุทธลักษณะปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิเพชร พระพักตร์รูปไข่ มีพระมาลาครอบเศียร มีพิมพ์หลักๆ คือ พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้ากลาง และพิมพ์หนุ่ม
พุทธคุณ: โดดเด่นทางด้านเมตตามหานิยม มหาอำนาจ บารมี และแคล้วคลาด ทำให้ผู้บูชามีความเจริญรุ่งเรือง "ผง" หรือ "พง" หมายถึง ความสมบูรณ์พูนสุข
มูลค่า: มีมูลค่าสูงในหลักหลายล้านบาท
พระนางพญา (พิษณุโลก)

ผู้สร้าง: สร้างโดยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช และพระวิสุทธิกษัตรีย์ (พระมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
อายุ: สร้างในสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 21-22) หรือประมาณ 400-500 ปีมาแล้ว
พุทธศิลป์: เป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ มีรูปทรงสามเหลี่ยมชะลูดเล็กน้อย มีเอกลักษณ์ที่ "อกตั้ง" (อกเป็นสันนูน) และ "เข่ากว้าง" (การวางพระหัตถ์และพระบาทที่ดูผึ่งผาย) มีหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์เข่าโค้ง, พิมพ์เข่าตรง, พิมพ์สังฆาฏิ
พุทธคุณ: โดดเด่นทางด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ อำนาจ บารมี และคงกระพันชาตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อกันว่าเสริมเสน่ห์และโชคลาภแก่สุภาพสตรี
มูลค่า: มีมูลค่าสูงในหลักหลายล้านบาท
พระซุ้มกอ (กำแพงเพชร)

ผู้สร้าง: ไม่ปรากฏนามผู้สร้างที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าสร้างขึ้นโดยพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญาในยุคสุโขทัย
อายุ: สร้างในสมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20) หรือประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว
พุทธศิลป์: เป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ มีเอกลักษณ์ที่รูปทรงโค้งคล้ายตัวกอ หรือ "ซุ้ม" ลักษณะเป็นซุ้มเรือนแก้ว ประทับนั่งปางมารวิชัย มีพิมพ์หลักๆ คือ พิมพ์ใหญ่มีกนก, พิมพ์ใหญ่ไม่มีกนก, พิมพ์กลาง, พิมพ์เล็ก และพิมพ์ขนมเปียกปูน
พุทธคุณ: โดดเด่นทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาด มีคำกล่าวที่เป็นอมตะว่า "มีกูไว้ไม่จน" ซึ่งสะท้อนถึงพุทธคุณด้านโภคทรัพย์อย่างชัดเจน
มูลค่า: มีมูลค่าสูงในหลักหลายล้านบาท
ความท้าทายในการสะสมพระเบญจภาคี

การสะสมพระเบญจภาคีถือเป็นที่สุดแห่งความปรารถนาของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ แต่ก็มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจาก:

ความหายาก: พระเครื่องทั้ง 5 องค์มีอายุยาวนานหลายร้อยปี จำนวนการสร้างมีจำกัด และถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ทำให้พระแท้หาได้ยากยิ่ง
มูลค่าสูง: ด้วยความหายากและพุทธคุณที่ประจักษ์ ทำให้มีมูลค่าสูงลิ่ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดจำนวนผู้ครอบครอง
พระปลอม: เนื่องจากเป็นพระเครื่องที่มีมูลค่าสูง จึงมีการทำพระปลอมออกมาจำนวนมากและฝีมือใกล้เคียงกับพระแท้ ทำให้การตรวจสอบความแท้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์ และสายตาที่เฉียบคมจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
การดูแลรักษา: พระเครื่องเนื้อดินและเนื้อผงมีความเปราะบาง ต้องดูแลรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาสภาพให้คงอยู่
บทสรุป

พระเบญจภาคีเป็นมากกว่าแค่พระเครื่อง แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและพุทธศิลป์อันล้ำค่าของชาติไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ภูมิปัญญาของช่างฝีมือในอดีต และคุณค่าทางจิตใจที่สืบทอดกันมานับร้อยปี การได้ครอบครองพระเบญจภาคีจึงไม่เพียงแต่เป็นการสะสมวัตถุที่มีมูลค่าสูง แต่ยังเป็นการสืบสานตำนานและความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจในวงการพระเครื่องตลอดไป แน่นอนครับ บทความเกี่ยวกับ "พระเบญจภาคี" แบบละเอียด มีดังนี้ครับ

พระเบญจภาคี: จักรพรรดิแห่งพระเครื่องไทย

ในวงการพระเครื่องไทย ไม่มีชุดพระเครื่องใดที่จะได้รับความเคารพยกย่องและเป็นที่ปรารถนามากเท่ากับ "พระเบญจภาคี" ซึ่งเปรียบเสมือน "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง" ด้วยความเก่าแก่ พุทธศิลป์อันวิจิตร และพุทธคุณอันเลิศล้ำที่ได้รับการยอมรับสืบทอดกันมายาวนาน พระเบญจภาคีจึงเป็นสุดยอดแห่งวัตถุมงคลที่นักสะสมทุกคนใฝ่หาและมีมูลค่าสูงยิ่งในปัจจุบัน

กำเนิดและที่มาของ "เบญจภาคี"

คำว่า "เบญจภาคี" มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต "เบญจ" หมายถึง ห้า และ "ภาคี" หมายถึง ส่วนหรือพวกพ้อง รวมกันหมายถึง "ห้าองค์" หรือ "ห้าชุด" แนวคิดการจัดชุดพระเบญจภาคีนี้ เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในราวปี พ.ศ. 2490 โดยปรมาจารย์แห่งวงการพระเครื่องไทย คือ ท่านอาจารย์ตรียัมปวาย (พ.อ. ผจญ กิตติประวัติ) ท่านได้รวบรวมและจัดอันดับพระเครื่องที่ทรงพุทธคุณโดดเด่น มีความเก่าแก่ พุทธศิลป์งดงาม และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในยุคนั้น โดยพิจารณาจาก:

ความเก่าแก่ของพระ: เป็นพระที่มีอายุการสร้างมานานนับร้อยปีขึ้นไป
พุทธศิลป์: มีความงดงามและเป็นตัวแทนของพุทธศิลป์ในแต่ละยุคสมัย
พุทธคุณ: มีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
ความนิยม: เป็นพระที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของนักสะสม
ความหายาก: เป็นพระที่หาได้ยากและมีจำนวนจำกัด
พระเครื่องทั้ง 5 องค์ที่ถูกจัดอยู่ในชุดพระเบญจภาคี ถือเป็นตัวแทนของพุทธศิลป์ในแต่ละยุคสมัยที่รุ่งเรืองของไทย ประกอบด้วย:

พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม (ตัวแทนยุครัตนโกสินทร์)
พระนางพญา (ตัวแทนยุคอยุธยา)
พระกำแพงซุ้มกอ (ตัวแทนยุคสุโขทัย)
พระผงสุพรรณ (ตัวแทนยุคอู่ทอง)
พระรอด วัดมหาวัน (ตัวแทนยุคลพบุรี หรือ หริภุญชัย)
รายละเอียดของพระเบญจภาคีแต่ละองค์

1. พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

ต้นกำเนิด: สร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร ในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พุทธศิลป์: เป็นพระเนื้อผงสีขาวอมเหลืองหรือขาวนวล พิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนพระเครื่องใดๆ ที่เคยมีมา มีพิมพ์หลักๆ ได้แก่ พิมพ์ใหญ่, พิมพ์ทรงเจดีย์, พิมพ์ฐานแซม, พิมพ์เกศบัวตูม, และพิมพ์ปรกโพธิ์ (หายากมาก)
มวลสาร: มวลสารหลักประกอบด้วยปูนเปลือกหอย ผสมกับผงวิเศษ 5 ชนิดที่สมเด็จโตท่านลบผงด้วยพระองค์เอง ได้แก่ ผงอิทธิเจ, ผงปถมัง, ผงมหาราช, ผงพุทธคุณ, และผงตรีนิสิงเห รวมถึงเศษอาหาร ก้านธูป เกสรดอกไม้ และน้ำมันตังอิ๊วเป็นตัวประสาน
พุทธคุณ: ถือเป็น "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง" มีพุทธคุณครอบจักรวาลโดดเด่นด้านเมตตามหานิยมสูงสุด ทำให้ผู้บูชาเป็นที่รักใคร่แก่คนทั่วไป เสริมบารมี วาสนา แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง และโชคลาภ
ความนิยม: เป็นพระที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาพระเครื่องทั้งหมด มีราคาเช่าหาสูงที่สุด และเป็นพระที่มีการปลอมแปลงมากที่สุดเช่นกัน การพิจารณาต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์อย่างสูง


2. พระนางพญา

ต้นกำเนิด: พบที่วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น (ประมาณสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา) สันนิษฐานว่าผู้สร้างคือพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระมเหสีของสมเด็จพระมหาธรรมราชา
พุทธศิลป์: เป็นพระเนื้อดินเผา มีพิมพ์ทรงสามเหลี่ยม โดยมีเอกลักษณ์เด่นคือพระพักตร์รูปไข่ ลำพระองค์โค้งเว้าคล้ายสตรี พิมพ์ที่ได้รับความนิยมคือ พิมพ์เข่าโค้ง, พิมพ์เข่าตรง, พิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์อกนูน, และพิมพ์เทวดา
มวลสาร: เนื้อดินละเอียด สีออกแดงอมส้ม เหลือง หรือดำ มีแร่กรวดทรายปะปนอยู่เล็กน้อย
พุทธคุณ: โดดเด่นด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ทำให้ผู้บูชาเป็นที่รักใคร่และได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้ใหญ่ เสริมบารมี อำนาจ และแคล้วคลาดคงกระพัน
ความนิยม: เป็นพระที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากพระสมเด็จ และเป็นหนึ่งในพระหลักที่นักสะสมต้องมี


3. พระกำแพงซุ้มกอ

ต้นกำเนิด: พบที่กรุวัดบรมธาตุ วัดพิกุล และวัดพระแก้ว จังหวัดกำแพงเพชร สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนปลาย (ประมาณ พ.ศ. 1900-2000)
พุทธศิลป์: เป็นพระเนื้อดินเผา เนื้อดินละเอียด มีลักษณะเด่นคือพิมพ์ทรงเหมือนตัว "ก" ไก่ ด้านหลังเป็นลายกนก มักมีคราบดินขี้สนิมเกาะติด พิมพ์ที่นิยมคือ พิมพ์ใหญ่มีกอ, พิมพ์ใหญ่ไม่มีกอ, พิมพ์กลาง, พิมพ์เล็ก, และพิมพ์ขนมเปี๊ยะ
มวลสาร: เนื้อดินละเอียดหนึกนุ่ม มีว่านดอกมะขามเป็นส่วนผสม ทำให้เนื้อพระมีความนุ่มและมีจุดแดงเล็กๆ กระจายอยู่
พุทธคุณ: มีพุทธคุณโดดเด่นด้านโชคลาภ ความร่ำรวย โดยมีคำกล่าวที่ว่า "มีกูแล้วไม่จน" นอกจากนี้ยังเด่นด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดปลอดภัย
ความนิยม: เป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมเรื่องโชคลาภและความมั่งคั่ง


4. พระผงสุพรรณ

ต้นกำเนิด: พบที่กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี สร้างขึ้นในสมัยอู่ทอง (ประมาณ พ.ศ. 1800-1900)
พุทธศิลป์: เป็นพระเนื้อดินเผา ปรากฏพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้ว มีลักษณะเศียรโต ไหล่กว้าง มีทั้งพิมพ์หน้าแก่ หน้ากลาง และหน้าหนุ่ม
มวลสาร: เนื้อดินละเอียดผสมว่านและผงพุทธคุณ เนื้อจะค่อนข้างนุ่ม หนึกนับ บางองค์มีรอยลายนิ้วมือปรากฏอยู่ด้านหลัง
พุทธคุณ: มีพุทธคุณเด่นด้านเมตตามหานิยม มหาอำนาจ แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และเสริมความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
ความนิยม: เป็นพระที่มีพุทธศิลป์งดงามและพุทธคุณโดดเด่น เป็นที่ต้องการของนักสะสมชั้นสูง


5. พระรอด วัดมหาวัน

ต้นกำเนิด: พบที่วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรหริภุญชัย (ประมาณ พ.ศ. 1200-1600) ถือเป็นพระเครื่องที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในชุดเบญจภาคี
พุทธศิลป์: เป็นพระเนื้อดินเผา พิมพ์ทรงสามเหลี่ยม ปรากฏพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยบนฐานบัว มีปรกโพธิ์รอบเศียรพระ มีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า "หูบายศรี" มีพิมพ์หลักๆ ได้แก่ พิมพ์ใหญ่, พิมพ์กลาง, พิมพ์เล็ก, พิมพ์ตื้น, และพิมพ์ต้อ
มวลสาร: เนื้อดินละเอียดสีแดงอมส้ม ดำ เขียว หรือขาว มีแร่ปะปนอยู่บ้าง
พุทธคุณ: เชื่อกันว่ามีพุทธคุณเด่นด้านแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง เมตตามหานิยม และคงกระพันชาตรี โดยมีคำกล่าวว่า "ใครมีพระรอดแล้วรอดปลอดภัย"
ความนิยม: ด้วยความเก่าแก่และพุทธคุณที่โดดเด่น ทำให้พระรอดเป็นที่นิยมและมีราคาค่อนข้างสูง
คุณค่าและบทบาทของพระเบญจภาคีในปัจจุบัน

พระเบญจภาคีไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคลที่มีคุณค่าทางจิตใจและพุทธคุณที่เล่าขานกันมาเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงพุทธศิลป์อันรุ่งเรืองของแต่ละยุคสมัยในประเทศไทยอีกด้วย คุณค่าของพระเบญจภาคีในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงความศรัทธาส่วนบุคคล แต่ยังเป็นที่ยอมรับในเชิงมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยพระแท้แต่ละองค์มีราคาสูงถึงหลักล้านบาทไปจนถึงหลายสิบล้านบาท ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ ความสวยงาม และพิมพ์นิยม

อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าที่สูงและความต้องการที่มาก ทำให้เกิดการปลอมแปลงพระเบญจภาคีอย่างแพร่หลาย การเช่าบูชาพระเบญจภาคีจึงจำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และการตรวจสอบอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้พระแท้และเป็นสิริมงคลแก่ผู้ครอบครองอย่างแท้จริง

พระเบญจภาคีจึงยังคงเป็น "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง" ที่คงความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ และความทรงคุณค่าไว้ในใจของนักสะสมและพุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดไป.

jinttrakan.com


บทความที่เกี่ยวข้อง
พระสมเด็จ
จักรพรรดิแห่งพระเครื่องไทย
14 มิ.ย. 2025
บทความเกี่ยวกับ "ปางพระ"
"ปางพระ" หรือ "พุทธปาง"
13 มิ.ย. 2025
ศิลปะพระพุทธรูปในแต่ละสมัยของไทย
ศิลปะพระพุทธรูปในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเชื่อทางพุทธ
12 มิ.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ